สิ่งที่ผมได้ยินอยู่บ่อยๆคือ 95%ของผู้ทำธุรกิจเครือข่ายคือความล้มเหลวและอีก5%นั้นคือผู้สำเร็จ เมื่อได้ยินคำบอกเล่าเช่นนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเกิดอะไรกับคน95% ที่กำลังทำธุรกิจเครือข่ายอยู่กันแน่ เพราะอะไรจำนวนคนที่ล้มเหลวถึงได้มากมายขนาดนั้นและจากที่ผมศึกษาดูแล้วก็ได้คำตอบดังนี้(หลายๆท่านอาจจะค้านก็ได้นะครับ)
1. เพราะเขาไม่เข้าใจว่าธุรกิจเครือข่ายก็คือธุรกิจขายตรงแต่เปลี่ยนจากที่จะได้รายได้แบบชั้นเดียวคือได้เปอร์เซ็นจากการขาย(SLM)มาเป็นการขยายสายงานแบบหลายชั้นได้(MLM) จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสินค้ามากนัก
2. การรีบร้อนเกินไป หลายๆคนมักจะรีบร้อนที่อยากจะโตไวๆเพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทนสูงๆเร็วๆ สิ่งนั้นถ้าเป็นการทำเพื่อให้ใจฮึกเหิมหรือเป็นการกระตุ้นตัวเองก็ไม่ผิดหรอกนะครับ แต่หลายๆคนกลับใช้วิธีการไปหลอกผู้อื่น หลอกเอาคนใกล้ๆตัวบ้างหลอกเอาเพื่อนมาบ้างเพื่อที่จะหวังผลประโยชน์จากคนที่เราแนะนำและสุดท้ายก็ต้องมาสูญเสียทีมงานไปและตัวเราก็ต้องออกจากอาชีพนี้ไปในที่สุดเพราะไม่สามารถที่จะชักชวนใครได้อีก กลายเป็นเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาเสียทั้งเพื่อนและคนรู้จักไป
3. การทำธุรกิจทุกธุรกิจต้องใช้เวลา อย่าคิดว่าจะสำเร็จได้เพียงชั่วข้ามคืนต้องมองให้ออกว่าธุรกิจไม่ได้สำเร็จกันอย่างง่ายๆทุกอย่างต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจของเราเองหรือลูกจ้างเขาก็ตามต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งสิ้น
4. การสอนทีมงานเป็น การที่ธุรกิจจะเติบโตได้ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปได้ด้วยตัวคนเดียวการขับเคลื่อนองค์กรทีมงานนั้นทุกฝ่ายและทุกคนสำคัญทั้งหมดดังนั้นต้องสอนให้เขาทำงานเป็นคุณเองคงไม่อยากเหนื่อยอยู่คนคนเดียวใช่มั๊ยครับ การที่ทีมงานทำงานกันเป็นและทำงานอย่างมีระบบนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณต้องสอนให้ทีมงานเขาตกปลาเป็นอย่าเพียงหาปลามามาใส่มือให้เขา และเมื่อทุกคนหาปลาเองกันเป็นเขาเองก็ไม่อดอยากและคุณเองก็ไม่ต้องมาเหนื่อย
5.ต้องศึกษาหาความรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะการเก็บเกร็ดความรู้แม้จะเล็กๆน้อยๆก็มีประโยชน์ และถ้าได้ฟังหรืออ่านบทความประสบการณ์ของผู้อื่นได้ด้วยนั้นก็ยิ่งเป็นสิ่งดีเพราะจะทำให้เรามีจิตใจที่ฮึกเหิมขึ้น
6.การแนะนำสินค้าได้ ถึงธุรกิจMLMอาจจะไม่ต้องขายสินค้าเลยแต่ธุรกิจนี้ก็เกี่ยวข้องกับสินค้าอย่างชัดเจนฉะนั้นเราเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรู้จักสินค้าในบริษัทของเรา และสามารถแนะนำให้ลูกทีมหรือลูกค้าของเราได้ และถ้าสินค้าไหนที่เราไม่เคยได้ทดลองใช้ก็ไม่ควรจะแนะนำ นอกเสียจากลูกค้าของคุณสนใจสินค้าจาก Catalog เอง เราต้องเข้าใจว่าสินค้าจากธุรกิจของเรานั้นราคาค่อนค้างสูงกว่าท้องตลาด ฉะนั้นคุณเองต้องเสนอได้ว่าสินค้านั้นคุ้มกว่าตามท้องตลาดอย่างไรเพื่อจะได้แนะนำให้ลูกทีมหรือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. ควรดูความต่างหลายๆบริษัทก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สินค้า, การรักษายอด, การคำนวณเงินเริ่มต้นธุรกิจ, ค่าPV (ค่าPVแต่ละบริษัทนั้นมีการวัดค่าจากPVที่ต้องทำ หารด้วยจำนวนเงินที่ต้องลงทุน เช่นบริษัทนี้ด้องการ2000PV ในการลงทุน และสินค้าที่จะซื้อให้ครบ2000PV อยู่ที่ราคา5000บาท ก็นำ5000มาหารด้วย2000จะเท่ากับค่าPVแต่ละคะแนน จุดนี้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้มอง แต่เป็นจุดที่สำคัญนะครับ ผมเคยเห็นบางที่ตกPVละ30-50บาทต่อ1 PVก็มี), แผนการจ่ายเงิน, บริษัทถูกกฎหมายหรือไม่, สินค้าต้องใช้วิทยาศาสตร์วัดได้ (เพราะบางบริษัทใช้ความรู้สึกในการวัด ยกตัวอย่างเช่นสินค้าอาหารเสริมที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงแต่ก็ไม่ได้มีหลักในวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้มารองรับ), สินค้าประเภทบริโภคต้องผ่านองค์การอาหารและยา
8. ธุรกิจควรเริ่มตั้งแต่ยังไม่มีภาระ เช่นนักศึกษา หรือผู้มีงานที่ได้รายได้ตายตัวทำประจำอยู่แล้ว เพราะที่หลายๆคนต้องการรีบโตในธุรกิจนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีภาระมาก ต้องการใช้เงิน จึงต้องไปหลอกผู้อื่นมา จนลืมคิดไปว่ารายได้ส่วนหนึ่งนั้นต้องมาจากการสอนทีมงานให้ดูแลลูกค้าของตัวคุณเอง และเมื่อคุณหลอกเขามาทำเขาทำธุรกิจไม่ได้ เขาก็ตายจากอาชีพคุณเองก็ต้องตายตามไปด้วย แต่ถ้าเราเริ่มธุรกิจนี้ในขณะที่เราไม่ได้มีภาระอะไรก็ไม่ต้องรีบร้อน ทำธุรกิจของเราให้ค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีรายได้จากธุรกิจมากพอค่อยเปลี่ยนจากPart-Time มาเป็นFull-Timeก็ยังไม่สายใช่มั๊ยครับ
ฉะนั้นหนทางของความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นมันมีปัจจัยหลายๆอย่าง เราไม่ควรที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป ธุรกิจทุกๆธุรกิจก็ต้องมองหลายๆมุมเช่นกัน แต่ส่วนตัวผมนั้นก็ยังมองว่าธุรกิจเครือข่ายเป็นการทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าเพราะเนื่องจากใช้เงินลงทุนที่ต่ำกว่าธุรกิจหลายๆธุรกิจที่ผมเคยรู้จักมา สำหรับเคล็ดลับนี้ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะได้สิ่งดีๆจากบทความของผมไม่มากก็น้อยนะครับ
By อรรณพ เกษร
|